เนย์มาร์ ชิดซ้าย ลูกากู ยึดเบอร์หนึ่งแข้งย้ายทีมค่าตัวรวมกันมากที่สุดในโลก
ด้วยฝีเท้าที่จากยอดเยี่ยมจากการฝากผลงานยิงประตูได้แบบเป็นกอบเป็นกำ ทำให้ โรเมลู ลูกากู กองหน้าทีมชาติเบลเยี่ยมได้เก็บข้าวของย้ายทีมแบบต่อเนื่องเลย เพราะมีหลายๆ สโมสรพร้อมจ่ายเงินซื้อตัวมาเสริมความคมในแนวรุกนั่นเอง โดย “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เป็นทีมล่าสุดที่ได้ลงทุนคว้าตัวกลับมาร่วมทัพอีกครั้งหนึ่งเป็นรอบที่ 2 ทำให้ดาวยิงวัย 28 ทีมได้ย้ายแบบมีค่าตัวเป็นครั้งที่ 5 แล้วด้วย
Chelsea v Norwich City – Premier League / Shaun Botterill/Getty Images
ก่อนหน้านี้ เชลซี เคยร่วมงานกับ ลูกากู มาแล้วในช่วงระหว่างปี 2011-2014 เมื่อตอนที่คว้ามาจาก อันเดอร์เลชท์ ในปี 2011 ด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นช่วงที่เพิ่งแจ้งเกิดในวงการลูกหนังโลกใหม่ๆ เลย และเป็นการย้ายทีมครั้งแรกในชีวิตอีกด้วย ทว่าดาวยิงร่างยักษ์กลับไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงได้สำเร็จ จึงถูกปล่อยให้ เวสต์บรอมวิช กับ เอฟเวอร์ตัน ยืมตัวไปใช้งาน และได้ย้ายทีมเป็นครั้งที่ 2 เนื่องจาก เอฟเวอร์ตัน ได้จ่ายเงินคว้าตัวมาเสริมทัพแบบถาวรในปี 2014 ด้วยค่าตัว 28 ล้านปอนด์
หลังจากนั้น ลูกากู ก็ได้ย้ายทีมเป็นครั้งที่ 3 โดย “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ทุ่มเงินดึงเข้ามาเสริมแนวรุกในปี 2017 ด้วยค่าตัวสูงถึง 75 ล้านปอนด์ และได้ย้ายทีมเป็นครั้งที่ 4 เพราะได้เก็บข้าวของไปซบ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน ในปี 2019 ด้วยค่าตัว 74 ล้านปอนด์ ก่อนจะได้ย้ายกลับมาร่วมทัพ เชลซี เป็นรอบที่ 2 ในปี 2021 ด้วยค่าตัว 97.5 ล้านปอนด์
Paris Saint-Germain v Stade Reims – Ligue 1 / Quality Sport Images/Getty Images
ทำให้ ลูกากู ได้ขึ้นแท่นเป็นเจ้าของสถิตินักฟุตบอลที่มีค่าตัวจากการย้ายทีมรวมกันมากที่สุดในโลกไปแล้ว เพราะมีมูลค่าจากการย้ายทีมแบบมีค่าตัวมาแล้วทั้งหมด 5 ครั้งเป็นเงินร่วมกันทั้งสิ้น 284.5 ล้านปอนด์เลยทีเดียว จึงได้ขยับขึ้นไปรั้งอันดับ 1 แซงหน้าสถิติเดิมของ เนย์มาร์ กองหน้าทีมชาติบราซิลที่ต้องร่วงลงไปอยู่อันดับ 2 จากการย้ายทีมแบบมีค่าตัวร่วมกันทั้งหมด 2 ครั้ง
ย้อนหลังกลับไปในปี 2013 เนย์มาร์ ได้ย้ายทีมเป็นครั้งแรกจาก ซานโต๊ส ไปร่วมทัพ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว 71.5 ล้านปอนด์ และได้ย้ายทีมเป็นครั้งที่ 2 จาก บาร์ซ่า ไปร่วมทัพ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในปี 2017 ด้วยค่าตัวสูงถึง 198 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิตินักฟุตบอลที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบันนี้อีกด้วย เท่ากับว่าดาวเตะเลือดแซมบ้ามีค่าตัวจากการย้ายทีมทั้งหมด 2 ครั้งเป็นจำนวนเงินร่วมกันทั้งหมด 269.5 ล้านปอนด์
Juventus v Atalanta – Pre-Season Friendly / Emilio Andreoli/Getty Images
ขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวเตะทีมชาติโปรตุเกสตามมาเป็นอันดับ 3 จากการย้ายทีมทั้งหมด 3 ครั้งด้วยค่าตัวร่วมกันสูงถึง 180.24 ล้านปอนด์ เริ่มจากครั้งแรกเมื่อตอนที่ย้ายจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน ไปร่วมทัพ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2003 ด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ หลังจากนั้นได้ย้ายทีมเป็นครั้งที่ 2 ไปร่วมทัพ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ในปี 2009 ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ซึ่งเคยเป็นสถิติแพงที่สุดในโลกมาก่อนด้วย และได้ย้ายทีมเป็นครั้งที่ 3 ไปร่วมทัพ “ม้าลาย” ยูเวนตุส ในปี 2018 ด้วยค่าตัว 88 ล้านปอนด์
ส่วนอันดับ 4 เป็นของ อัลบาโร่ โมราต้า กองหน้าทีมชาติสเปนจากการย้ายทีมแบบมีค่าตัวทั้งหมด 4 ครั้งด้วยค่าตัวร่วมกันสูงถึง 163 ล้านปอนด์ เริ่มจากครั้งแรกเมื่อตอนที่ย้ายจาก เรอัล มาดริด ไปร่วมทัพ ยูเวนตุส ในปี 2014 ด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์ หลังจากนั้นได้ย้ายทีมเป็นครั้งที่ 2 กลับไปร่วมทัพ เรอัล มาดริด ในปี 2016 ด้วยค่าตัว 27 ล้านปอนด์ และได้ย้ายทีมเป็นครั้งที่ 3 ไปร่วมทัพ เชลซี ในปี 2017 ด้วยค่าตัว 60 ล้านปอนด์ ต่อด้วยครั้งที่ 4 ย้ายไปร่วมทัพ แอตเลติโก มาดริด ในปี 2020 ด้วยค่าตัว 58 ล้านปอนด์ และถูกปล่อยให้กลับไปร่วมงานกับ ยูเวนตุส ด้วยสัญญายืมตัวจนถึงปี 2022
Manchester United v Crystal Palace – Premier League / Richard Heathcote/Getty Images
ปิดท้ายด้วยอันดับ 5 เป็นของ อังเคล ดิ มาเรีย ปีกทีมชาติอาร์เจนติน่าจากการย้ายทีมแบบมีคาตัวทั้งหมด 4 ครั้งด้วยค่าตัวร่วมกันสูงถึง 140.6 ล้านปอนด์ เริ่มจากครั้งแรกเมื่อตอนที่ย้ายจาก โรซาริโอ เซนทรัล ไปร่วมทัพ เบนฟิก้า ในปี 2007 ด้วยค่าตัว 7.2 ล้านปอนด์ หลังจากนั้นได้ย้ายทีมเป็นครั้งที่ 2 ไปร่วมทัพ เรอัล มาดริด ในปี 2010 ด้วยค่าตัว 29.7 ล้านปอนด์ และได้ย้ายทีมเป็นครั้งที่ 3 ไปร่วมทัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2014 ด้วยค่าตัว 59.7 ล้านปอนด์ ต่อด้วยครั้งที่ 4 ไปร่วมทัพ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในปี 2015 จนถึงปัจจุบันด้วยค่าตัว 44 ล้านปอนด์
นั่นคือ 5 อันดับแรกตามสถิตินักฟุตบอลที่ย้ายทีมแบบมีค่าตัวรวมกันมากที่สุด โดยที่ ลูกากู ยึดตำแหน่ง “เบอร์หนึ่ง” เหนือ เนย์มาร์ เรียบร้อยแล้ว
ที่มา www.90min.com/th